ดูซีรี่ย์ออนไลน์ใหม่ ซีรี่ย์เกาหลี KseriesTV ดูซีรี่ย์จีน ซีรี่ย์2025

ดูซีรี่ย์ออนไลน์ kseriestv เคซีรี่ย์ ซีรี่ยเกาหลี ซีรี่ย์จีน ซีรี่ย์ญีปุ่น ซีรี่ย์อัพเดทใหม่ HD พากย์ไทย ซับไทย วาไรตี้เกาหลี อัพเดทใหม่ล่าสุด

ซีรี่ย์น่าดูประจำปี 2016

ดูซีรี่ย์ ปี 2016 หมายถึง ละครโทรทัศน์และเว็บซีรีส์ที่ออกอากาศครั้งแรกในปี ค.ศ. 2016 ซึ่งเป็นปีที่วงการบันเทิงทั่วโลกเข้าสู่ยุคทองอย่างสมบูรณ์แบบ ด้วยการเกิดขึ้นของซีรีส์ระดับตำนานจากทุกแพลตฟอร์ม

[read more]

 5 ปรากฏการณ์สำคัญของซีรี่ย์ปี 2016

  1. ยุคเรืองรองของสตรีมมิ่ง

    • Netflix และ Amazon ปล่อยซีรีส์ระดับพรีเมียมพร้อมกันทั้งฤดูกาล

    • Hulu เข้ามาแข่งขันด้วย The Handmaid’s Tale (แม้จะออกปี 2017 แต่เตรียมการปี 2016)

  2. เนื้อหากล้าทำกล้าแสดง

    • ซีรีส์เริ่มแตะประเด็นลึกๆ อย่างการเมืองและศาสนา

    • มีการนำเสนอตัวละคร LGBTQ+ มากขึ้น

  3. เทคโนโลยีการผลิตก้าวล้ำ

    • ใช้งบประมาณสูงถึง 8-10 ล้านดอลลาร์ต่อตอน

    • ใช้เทคนิค Virtual Reality ในการโปรโมต

  4. เกาหลีครองตำแหน่งราชาแห่งเอเชีย

    • หลายเรื่องทำเรตติ้งทะลุ 20%

    • เริ่มมีอิทธิพลต่อแฟชั่นและวัฒนธรรมป๊อป

  5. ละครไทยเริ่มสร้างสรรค์

    • เกิดละครแนวใหม่ที่ไม่ยึดติดสูตรเดิม

    • มีการนำนักแสดงหน้าใหม่มารับบทหลัก

“2016 คือปีที่วงการซีรีส์ก้าวข้ามเส้นแบ่งระหว่างทีวีกับภาพยนตร์อย่างสมบูรณ์ และพิสูจน์ว่าซีรีส์สามารถเป็นมากกว่าความบันเทิงทั่วไป”

ปัจจุบันซีรี่ย์ปี 2016 หลายเรื่องยังคงถูกพูดถึงและมีอิทธิพลต่อการผลิตเนื้อหารุ่นใหม่ ทั้งในด้านรูปแบบการเล่าเรื่อง เทคนิคการผลิต และการนำเสนอเนื้อหา

ซีรี่ย์ ปี2016 มีให้ชมมากมาย แต่วันนี้เราจะมายกตัวอย่างที่แอดชอบให้ชม ตามนี้เลยจ้าา

1.The Flash วีรบุรุษเหนือแสง Season 3

The Flash วีรบุรุษเหนือแสง Season 3

สำหรับผมนั้น ผมชอบ 2 ปีแรกของ The Flash มากอยู่ครับ ซึ่งผมเคยถามตัวเองเหมือนกันว่าซีรี่ส์ The Flash สนุกยังไง คำตอบที่ได้ก็ออกจะกำปั้นทุนดินอยู่ในทีครับ เพราะผมชอบเนื่องจากซีรี่ส์มันเป็นอะไรที่ “โคตรจะ Flash” ครับ (555)

โคตรจะ Flash ที่ผมพูดในทีนี้คือซีรี่ส์มันเดินเรื่องไวครับ ปรู๊ดปร๊าดมากมาย แทบทุกตอนมันเดินเรื่องไปข้างหน้า พาเราทะยานไปด้วยใจระทึก มันตื่นเต้น เร้าใจ และเต็มไปด้วยสีสันวูบวาบ ไหนจะมีพล็อตพลิกผันให้เราติดตามและลุ้นอีกต่างหาก

ประโยชน์อย่างยิ่งของการเดินเรื่องปรู๊ดปร๊าดก็คือ แม้บางทีซีรี่ส์จะมีช่องโหว่ หรือมีจุดอ่อนในบทก็ตาม แต่เราก็พร้อมจะมองข้าม หยวนๆ มันไปได้ หรือบางทีเราก็จะไม่ทันมอง เพราะมีของหรือมีปมบนจอที่น่าสนใจกว่าจะดึงความสนใจเราอยู่

และ The Flash ปี 3 นั้น ประมาณครึ่งซีซั่นแรกก็ยังคงสนุกในสไตล์นั้นครับ เรื่องเดินไปข้างหน้าแบบฉับไว มีปมให้ตาม มีการเปิดตัววายร้ายประจำปีอย่างซาวิทาร์ เทพเจ้าแห่งความเร็วที่แสนร้ายกาจ แล้วก็มีปม “Flashpoint” เป็นปมหลักของประจำ

ความวุ่นวายของปีนี้เริ่มจากการทีแบร์รี่ อัลเลน (Grant Gustin) ไปยุ่งกับเส้นเวลาจนเกิดผลร้ายตามมา และที่แย่คือมันส่งผลต่อทุกชีวิตในโลกเลยครับ และนั่นก็ทำให้แบร์รี่ต้องเผชิญกับบทเรียนที่ใหญ่ที่สุดเท่าที่เขาเคยเจอมา และมันยังกลายเป็นประสบการณ์ที่ตามหลอกหลอนเขาไปอีกนาน

ปีนี้ออกจาก Dark ขึ้นครับ ซึ่งจะต่างจาก 2 ปีก่อนหน้าที่แม้จะมีช่วง Dark แต่โทนมันก็ยังปรู๊ดปร๊าดและเปี่ยมสีสัน (ว่าง่ายๆ คือ Dark แค่แป๊บๆ ไม่ได้เน้นอะไรมากมาย) แต่ทว่าปีนี้บางจังหวะก็เกือบจะเครียดเลยล่ะครับ แล้วความ Dark มันก็ค่อยๆ สะสมเป็นระยะไปตลอดทั้งปี ซึ่งก็สงสารแบร์รี่เหมือนกัน มันเป็นบทเรียนราคาแพงเหลือเกินสำหรับเรื่องราวในปีนี้

ในแง่เนื้อหา ผมรู้สึกโอเคครับ ผมเข้าใจว่าปีนี้เป็นปีที่จะทำให้แบร์รี่เป็นผู้ใหญ่มากขึ้น แข็งแกร่งขึ้น แต่กว่าจะถึงจุดนั้นเขาก็แทบจะล้มทั้งยืนและสูญเสียอะไรไปมากมาย ซึ่งผมก็เข้าใจแหละว่าทีมงานต้องการให้ปีนี้เป็นปีที่มีผลต่อจิตใจของแบร์รี่… แต่ก็นั่นล่ะครับ ทุกสิ่งมันย่อมมีผลตามมาเสมอ

ปีนี้ ผมว่าครึ่งแรกยังสนุกครับ มันยังรวดเร็วและน่าติดตามอยู่ แล้วก็มีโอกาสได้ไปแจมกับพวก Arrow, Supergirl และ Legends of Tomorrow ด้วย ก็สนุกดีครับ แล้วการมาของตัวละครใหม่อย่าง จูเลียน อัลเบิร์ต (Tom Felton) ก็เพิ่มสีสันและความน่าสนใจให้หนังได้ดี

ผมได้ยินมาว่าหลายคนรำคาญ เอช.อาร์ (Tom Cavanagh) หรือแฮร์ริสัน เวลส์คนใหม่ แต่ผมกลับชอบแฮะ พี่แกเป็นชูรสที่เจ๋งดี ซึ่งผมไม่เถียงครับว่าเขาอาจดูไม่เป็นโล้เป็นพายในบางจังหวะ แต่เอาเข้าจริงความคิดของเขาสามารถแก้ปัญหาและช่วยพวกแบร์รี่ได้เยอะมาก และบอกตรงๆ ว่าถ้าปีนี้ไม่มีเขาล่ะก็ โทนมันอาจจะดูสนุกน้อยลงกว่านี้ก็ได้ (เพราะปีนี้ แบร์รี่ก็เครียด ซิสโก้ก็เครียด เคตลินก็เครียด จูเลียนตอนต้นๆ ก็ออกแนวเครียด… ดัชนีความสุขมวลรวมในซีรี่ส์ดูต่ำลงมากน่ะครับ ถ้าว่าตรงๆ นะ)

ครับ ครึ่งแรกสนุกดี การสู้กับซาวิทาร์ก็ถือว่าโอเค ปมเกี่ยวกับซาวิทาร์ดูน่าติดตามดี แล้วก็มีวายร้ายตัวอื่นโผล่มาเป็นพักๆ แต่ทีนี้พอถึงช่วงหลังเหมือนทีมงานพยายามยืดเรื่องน่ะครับ เรื่องดูจะวนอยู่กับที่ เป็นครั้งแรกที่รู้สึกว่า The Flash ดูไม่ค่อย Flash เหมือนปีก่อนๆ ที่มันจะดูว่อง ดูมันส์ ดูลื่น ส่วนหนึ่งเพราะแม้ปีก่อนๆ ช่วงท้ายๆ ของปีจะเน้นที่เรื่องของบอมใหญ่ก็ตาม แต่ทุกตอนมันก็ยัง “มีอะไร” อยู่ ไม่ว่าจะตัวร้ายประจำตอนที่เจ๋งๆ หรือการแก้เกมระหว่างแฟลชกับบอสใหญ่

ในขณะที่ปีนี้ ก็พอเข้าใจน่ะครับว่าทีมงานพยายามทำให้ซาวิทาร์คือโคตรบอสที่แฟลชไม่มีทางรับมือได้เลย แต่นั่นทำให้การขับเคี่ยวลดลง แฟลชกับพวกดูเหมือนจะแค่รอๆๆ เรื่องมันเลยไม่คืบไปไหน

และสารภาพครับว่าบางจังหวะก็หงุดหงิดนะ เวลาที่บทกำหนดให้บางตัวละครตัดสินใจผิดพลาด ซึ่งผมก็เข้าใจน่ะว่ามันมีผลต่อเรื่องราว มันคือพล็อตที่วางไว้เพื่อให้เกิดเรื่องต่อๆ ไป แต่มันมีวาระที่ชวนหงุดหงิดเกี่ยวกับตัวละครมากไปหน่อย แล้วก็อย่างที่บอกครับว่าปีนี้ตัวละครพากัน Moody ด้วยหลายสาเหตุ มันเลยชวนให้หดหู่อยู่เหมือนกัน (ยอมรับจากใจ ผมแอบรำคาญพี่น้องตระกูลเวสต์ในหลายวาระ.. จนผมตั้งฉายาให้พวกเขาว่าเป็น The Flash’s Kryptonite – คริปโตไนท์ของเดอะ แฟลช)

เลยทำให้ปีนี้ของ The Flash สำหรับผมออกจะสนุกในตอนต้นและตอนกลางครับ แต่ตอนปลายมันยืดไปนิด การขมวดปมยังไม่ลงล็อคเท่าไร ไม่เหมือนปี 2 ที่ปมพลิกไปมาอย่างมันส์จนเราแทบไม่มีหัวไว้คาดเดาหรือจับผิดอะไร แต่ปีนี้พอจังหวะมันช้า มันก็อดจับผิดหลายๆ อย่างไม่ได้

อย่างตอนแฟลชสู้กับอาบาคาดาบราน่ะครับ ตอนมันขับยานหนีช่วงท้าย ผมงงนะว่า “แฟลชที่วิ่งข้ามเมืองได้ในชั่วพริบตา แต่วิ่งตามยานไม่ทันเนี่ยนะ?” คือถ้ายานมันความเร็วแสงก็ว่าไปอย่างครับ แต่นี่เห็นๆ ว่ายานมันวิ่งไม่ได้เร็วเลย น่าจะเร็วกว่ารถแค่นิดเดียวมั้ง แต่ทั้งแฟลชและคิดแฟลชทำเหมือนวิ่งไม่ทัน…

เอาเป็นว่าประเด็นเข้าท่าครับ แต่การขมวดปมไคลแม็กซ์ยังแลนดิ้งได้ไม่สวยเท่า 2 ปีแรก แต่กระนั้นตอนจบก็ถือว่าเหมาะสมครับ ในที่สุดแบร์รี่ก็ได้ยืดอกรับผิดชอบเรื่องราวทั้งหมดได้อย่างองอาจ… ผมว่าพี่ท่านดูเท่ห์สุดๆ เลยล่ะ

แต่ยังไงก็พร้อมดูปีต่อไปครับ เชื่อว่าบทเรียนปีนี้ (ทั้งที่แบร์รี่ได้รับ และที่ทีมงานได้รับ) น่าจะทำให้ปีต่อไปมีอะไรมันส์ๆ มากขึ้น (อย่างบอสใหญ่นี่ก็น่าจะบิ๊กขึ้นเยอะล่ะครับ พอจะรู้เป็นเลาๆ แล้วล่ะ ว่าใครจะมา)

2.Arrow แอร์โรว์ จอมคนธนูมหากาฬ Season 5

Arrow แอร์โรว์ จอมคนธนูมหากาฬ Season 5

Arrow Season 5 เปิดตัวด้วยการนำเสนอความท้าทายใหม่ๆ ที่ Oliver Queen ต้องเผชิญ โดยเนื้อเรื่องเริ่มต้นจากการที่เขาต้องต่อสู้กับศัตรูที่ชื่อว่า Prometheus ซึ่งเป็นตัวร้ายที่มีความสามารถในการวางแผนและรู้จุดอ่อนของ Oliver และทีมอย่างดี

ในช่วงต้นของซีซั่น Oliver ถูกบังคับให้สร้างทีมใหม่เพื่อท้าทาย Prometheus และต้องเผชิญกับการเปลี่ยนแปลงในความสัมพันธ์กับสมาชิกในทีม โดยเฉพาะกับ Felicity และ Diggle ที่มีปัญหาส่วนตัวที่ส่งผลกระทบต่อการทำงานร่วมกัน

นอกจากนี้ ซีซั่นนี้ยังได้สำรวจเรื่องราวของอดีตของ Oliver และการต่อสู้ของเขาในช่วงที่เขาเป็นนักฆ่าในเกาะ Lian Yu ซึ่งส่งผลกระทบต่อการตัดสินใจในปัจจุบันและความรับผิดชอบที่เขามีต่อเมือง Star City

ในตอนสุดท้ายของซีซั่น Oliver ต้องเผชิญกับการเลือกที่สำคัญที่จะกำหนดอนาคตของเขาและทีม โดยการต่อสู้กับ Prometheus และเปิดเผยความจริงที่เกี่ยวข้องกับครอบครัวและอดีตของเขา

Arrow Season 5 เป็นซีซั่นที่เต็มไปด้วยอารมณ์ ความดราม่า และการต่อสู้ที่น่าติดตาม สำหรับแฟนๆ ที่ชื่นชอบแนวซูเปอร์ฮีโร่และเรื่องราวที่มีความลึกซึ้ง ซีซั่นนี้เป็นอีกหนึ่งซีซั่นที่ไม่ควรพลาด!

3.Daredevil Season 2 (2016) แดร์เดวิล ซีซั่น 2

Daredevil Season 2 (2016) แดร์เดวิล ซีซั่น 2

ปีแรกก็เข้มข้นจนคนพากันจดจำและชื่นชอบ มาปีนี้ความเข้มข้นก็ยังมีพอกันครับ การเดินเรื่องยังคงมั่นกับสไตล์เป็นสายแข็ง (นั่นคือไม่ได้หวือหวาหรือไม่มีสีสันเท่าซีรี่ส์ของฟาก DC)

ดังนั้นจึงต้องบอกไว้ก่อนครับว่าใครชอบอะไรที่มันมีสีสัน มีลูกเล่นพริ้วๆ มีอารมณ์ขันแจ่มๆ หรือไม่ก็ชอบแสงสีตระการตาแล้วล่ะก็ Daredevil อาจไม่ใช่ซีรี่ส์ที่เหมาะสำหรับท่านครับ

ปีนี้สานต่อเรื่องจากปีก่อน เมื่อแมตต์ เมอร์ด็อก หรือ แดร์เดฟวิล (Charlie Cox) สยบวิลสัน ฟิสก์ (Vincent D’Onofrio) เจ้าพ่อประจำเมืองได้สำเร็จ ปีต่อมาเขาต้องเจอกับคู่ปรับคนใหม่ นั่นคือ แฟรงค์ แคสเซิล (Jon Bernthal) อดีตทหารที่ทำตัวเป็นศาลเตี้ยไล่ฆ่าอาชญากรในเมืองอย่างโหดเหี้ยม จนทำให้แดร์เดฟวิลต้องยื่นมือเข้ามาขวาง

นอกจากนี้ยังมีอีเล็คตร้า (Elodie Yung) คนรักเก่าของแมตต์ที่หวนกลับมาสู่ชีวิตของเขาอีกครั้ง ยังไม่รวมความสัมพันธ์ระหว่างเขากับ คาเรน (Deborah Ann Woll) และฟ็อกกี้ (Elden Henson) ที่ดูจะซับซ้อนขึ้นทุกทีๆ

ครับ ความเข้มยังถือว่ามากอยู่ เพียงแต่ยอมรับว่าความพีคหรือความชอบของผมอาจไม่มากเท่าปีแรก ส่วนหนึ่งคงเพราะปีแรกมันมาพร้อมความสด ใหม่ และได้ใจมากสำหรับโลกของฮีโร่ที่สมจริงและหนักแน่น พอมาปีนี้ จริงๆ ผมว่าคุณภาพยังคงได้มาตรฐานนะ (หรืออาจจะเรียกว่าเหนือมาตรฐานกว่าซีรี่ส์ส่วนใหญ่ด้วยซ้ำ) เพียงแต่อาจเพราะเราเคยเห็นความเยี่ยมจากปีแรกมาแล้ว พอมาปีนี้แม้จะเยี่ยมไม่ยิ่งหย่อนกว่ากัน แต่ความตื่นเต้นในใจเลยลดลง

แต่พูดได้เต็มปากเลยนะครับว่าผมยังสนุกกับปีนี้อยู่ มันยังเข้มข้น การเดินเรื่องยังน่าติดตาม (แต่อาจจะถือว่าช้าไปบ้างสำหรับคอหวือหวา) อีกทั้งประเด็นที่เอามาเล่นก็ถือว่าน่าสนใจเลยล่ะครับ

ธีมหลัก (หรือประเด็นคำถามหลัก) ของปีนี้ หนีไม่พ้นเรื่องศาลเตี้ยที่ต่อยอดจากปีแรก สิ่งที่แดร์เดฟวิลทำนั้นมันก็เป็นศาลเตี้ยสำหรับใครหลายคน แต่เขาก็พยายามขีดเส้นไว้ ไม่ให้ตัวเองล้ำ (นั่นคือพยายามที่จะไม่ฆ่าใคร) ในขณะที่ปีนี้การมาของแฟรงค์ แคสเซิล ก็ขับเน้นประเด็นนี้ให้น่าสนใจยิ่งขึ้น

วิถีของแฟรงค์นั้นคือการลงมือสังหารให้สิ้น ไม่ประนีประนอมยอมปล่อยให้ผู้ร้ายมีโอกาสมีชีวิตอยู่ต่อไป เพราะแฟรงค์ไม่คิดว่าจะมีผู้ร้ายรายไหนที่จะกลับตัวได้ ดีไม่ดีปล่อยไปพวกมันอาจกลับมาทำสิ่งเลวร้ายซ้ำอีกก็ได้

แต่กับแดร์เดฟวิลแล้วเขายังเชื่อในความดีของคน เชื่อว่าคนเลวแค่ไหนก็ควรได้รับโอกาสในการกลับตัว ดังนั้นการฆ่าเขาให้ตายก็คือการพรากโอกาสกลับตัวนั้นไปจากเขา ดังนั้นในปีนี้เราจะได้เห็นจุดตัดของอุดมการณ์ระหว่างแดร์เดฟวิลกับแฟรงค์ (หรือ พันนิชเชอร์ นั่นเอง) ผ่านบทสนทนาและการกระทำอยู่เนืองๆ

ปฏิเสธไม่ได้ครับว่าระหว่างดูนั้นก็สนุกกับการไตร่ตรองเหตุผลทั้งของฝั่งพี่แดร์และฝั่งพี่พัน ซึ่งตัวซีรี่ส์เองก็ไม่ได้ปล่อยให้ประเด็นค้างเสียอย่างนั้น แต่ช่วงท้ายๆ ก็ยังแอบสรุปประเด็นนี้อยู่กลายๆ ครับ นั่นคือมันต้องรู้จักเดินทางสายกลาง ควรเผื่อทางเดินไว้ให้ผู้ร้ายที่ยังพอมีหวัง และหากผู้ร้ายรายไหนมันเกินจะเยียวยา ก็ต้องหาทางจัดการมันแบบเด็ดขาดกันไป

4Stranger Things Season 1 (2016) สเตรนเจอร์ ธิงส์ ซีซั่น 1

Stranger Things Season 1 (2016) สเตรนเจอร์ ธิงส์ ซีซั่น 1

เรื่องราวเกิดขึ้นเมื่อ วิล หายตัวไปอย่างลึกลับ ในระหว่างทางที่กำลังกลับมาจากบ้านไมค์เมื่อทราบข่าวผู้เป็นแม่และพี่ชาย จอยซ์และโจนาธาน ก็ได้เดินทางมายังสถานีตำรวจในทันที และขอให้ฮ็อปเปอร์ช่วยตามหาลูกชายของตน ผ่านมาเกือบหนึ่งเดือน คดีไม่มีความคืบหน้าทำให้เพื่อนอีกสามคน ไมค์ ลูคัส และดัสติน รู้สึกกระวนกระวายใจและเริ่มปฏิบัติการออกตามหาวิลด้วยตัวเอง โดยเริ่มจากถนนเมิร์ควูดระหว่างนั้นเด็กเนิร์ดทั้งสามก็ได้พบเข้ากับเด็กสาวแปลกหน้านางหนึ่ง ที่เดินอยู่คนเดียวในป่า พวกเขาคิดว่าเธอหนีออกมาจากโรงพยาบาลบ้า จึงได้ช่วยเหลือเธอด้วยการนำมาซ่อนไว้ในบ้านของไมค์ โดยที่ครอบครัวเขาไม่รู้เธอบอกว่าตัวเองชื่อ อีเลเว่น ไมค์ได้ยินดังนั้นจึงได้ตั้งชื่อใหม่ให้กับเธอ คือ แอล จากนั้นเด็กเนิร์ดทั้งสามก็มารู้ทีหลังว่าแอลมีพลังจิตที่สามารถเคลื่อนย้ายสิ่งของได้ เมื่อแอลเริ่มเข้ามาพัวพันในชีวิตของเด็กเนิร์ดทั้งสามคนนี้ พร้อมกับวิลที่หายตัวไปทำให้พวกเขาจะต้องไขปริศนา เรื่องลึกลับที่เกี่ยวพันกับการทดลองลับ และพลังเหนือธรรมชาติอันน่าหวาดกลัว

5 The Walking Dead Season 7 (2016) เดอะ วอล์กกิง เดด ซีซั่น 7

The Walking Dead Season 7 (2016) เดอะ วอล์กกิง เดด ซีซั่น 7

รีวิว

สุดๆจริงหว่ะสำหรับตอนเปิดตัวของ Season 7 เป็นการรอคอยที่บอกเลยว่าโคตรจะคุ้มค่า ถึงแม้ว่ามันจะเป็นการสุญเสียครั้งยิ่งใหญ่ครั้งหนึ่งของกลุ่มพระเอก ก่อนดูไปแอบอ่านสปอยล์เนื้อหามาบ้างแล้ว พอได้ดูจริงๆนี่บอกเลยว่าถึงแม้จะรับรู้เรื่องราวทั้งหมดแล้ว แต่มันเกินรับไหวจริงๆ คือมันโหดโคตรพ่อโคตรแม่เลยจริงๆสำหรับฉากที่ทุกคนอยากเห็นกัน สิ่งที่ทำให้ผมชอบ TWD เพราะว่ามันเป็นซีรีส์ที่ไม่เคยหลุดกรอบหรือออกทะเลเลย นี่ล่อมาจนถึง SS7 แล้ว แต่ซีรีส์ยังคงเอกลักษณ์เดิมใว้ได้อย่างครบถ้วน ซึ่งตอนแรกนี้บอกได้เลยว่าถูกใจคอขาโหดกันอย่างแน่นอน

.. เนื้อหาในตอนนี้เหมือนเป็นการทำให้ทุกคน ทั้งกลุ่มริค และกลุ่มคนดูได้รับรู้ว่า ไอ่หำระยำเนแกนเนี่ยมันโหดยังไงบ้าง ( ขอโทษที่หยาบเพราะเกลียดมันจริงๆ 555 ) ตอนยังไม่ได้ดูก็รู้อยู่แล้วว่าไอ่นี่สายโหด แต่ไม่คิดว่า ซีรี จะทำออกมาได้โหดเหี้ยมขนาดนี้ ริคที่ว่าแน่ๆยังต้องมาสยบคาตีน ตอน 1 ของ Season 7 นี้น่าจะเป็นจุดตกต่ำที่สุดของริคแล้ว คือความโหดของเนแกนนี่มันบ้าบอคอแตกมาก มีหมดทุกอย่าง อาวุธ กำลังพล และความใจถึงของพี่แก ตั้งแต่ดูหนังและซีรีมาก็ไม่เคยจะเห็นใครที่โหดเท่าไอ้บ้านี้มาก่อนเลย ฆ่าคือฆ่า ทำคือทำเลย ไม่ต้องมาลีลาเยิ่นเย้อ ซึ่งตัวร้ายแบบนี้มันคือตัวร้ายในอุดมคติของผมเลย ใครจะคิดว่าริคที่ทำมาหมดแล้วทุกอย่างในโลกของซอมบี้ TWD ยกเว้นแค่เย็บมุ้งลวดแค่นั้นแหละ จะมาแต๋วแตกร้องไห้ขี้มูกโป่งให้กับคนที่ถือแค่ไม้เบสบอล

.. ส่วนการสูญเสียผมขอไม่พูดถึงอยากให้ทุกคนไปลุ้นและดูกันเอาเองว่าหวยจะออกไปที่ใคร บอกแค่ว่าทำใจใว้แต่เนิ่นๆนะ เตรียมผ้าเช็ดหน้าใว้ด้วยก็ดี เพราะผมเชื่อว่า ตัวละครนี้เป็นตัวโปรดของใครหลายๆคนรวมถึงผมด้วย ผมไม่รู้ว่าอนาคตหรือตอนต่อไปจะเป็นยังไง เพราะไม่เคยอ่าน Comic แต่เชื่อว่ามันจะเป็นเหตุการณ์ที่แปรเปลี่ยนครั้งสำคัญของกลุ่ม ริค แน่นอน ซึ่งเราคนดูก็อุ่นใจได้บ้างเพราะ ยังมีสายโหดอีกคนอย่างป้าแครอลอยู่ข้างนอก และ เฮียมอร์แกนที่ไปเจอพรรคพวกใหม่ๆ Season 7 น่าจะเป็นอีกซีซั่นที่ ถึงใจถึงอารมณ์คอ TWD แน่นอน

6. Romantic Doctor Teacher Kim Season1 (2016) ดอกเตอร์ โรแมนติก ซีซั่น 1

Romantic Doctor Teacher Kim Season1 (2016) ดอกเตอร์ โรแมนติก ซีซั่น 1

เป็นซีรีส์แนวการแพทย์ของเกาหลีที่ออกอากาศเมื่อปลายปี 2016 นำแสดงโดย นักแสดงมากฝีมืออย่าง ฮันซอกกยู รับบทเป็น อาจารย์คิมซาบู ยูยอนซอก รับบทเป็น คังดงจู ซอฮยอนจิน รับบทเป็น ยุนซอจอง และนักแสดงหน้าใหม่ ยังเซจง รับบทเป็น โทอินบอม บอกเล่าเรื่องราวเกี่ยวกับการทำงานของแพทย์ในโรงพยาบาลทลดัมที่ต้องเผชิญกับอาการของผู้ป่วยที่หลายรูปแบบ และปัญหาจากปัจจัยภายนอก พร้อมปมปัญหาของตัวละครแต่ละตัวที่ช่วยเสริมให้เรื่องราวเข้มข้นและน่าติดตามมากขึ้น ซีรีส์เรื่องนี้จะทำให้คุณได้รู้ว่า เบื้องหลังของอาชีพแพทย์ที่หลายคนใฝ่ฝัน แท้จริงแล้วพวกเขาต้องเผชิญปัญหาอะไรบ้าง คุณจะได้รู้สึกเหมือนได้ไปนั่งอยู่ในโรงพยาบาลทลดัมและร่วมรักษาคนไข้ไปกับพวกเขาจริง ๆ

อาจารย์คิมซาบู (รับบทโดย ฮันซอกกยู) ชื่อเดิมของเขาคือหมอพูยงจู ศัลยแพทย์มากฝีมือที่เคยทำงานในโรงพยาบาลกอแดซึ่งเป็นโรงพยาบาลขนาดใหญ่ แต่วันหนึ่งเขากลับถูกผู้บริหารของโรงพยาบาลหักหลังด้วยการใช้ชื่อของเขาไปผ่าตัดให้กับคนไข้ เมื่อเกิดความผิดพลาด ความผิดทั้งหมดจึงตกอยู่ที่เขา หมอพูยงจูจึงเปลี่ยนชื่อเป็น “คิมซาบู” ละทิ้งทุกอย่างมาทำงานในโรงพยาบาลเล็ก ๆ ตลอดเวลาที่อาจารย์คิมทำงานอยู่ที่โรงพยาบาลทลดัม เขาได้ใช้ความสามารถในการช่วยชีวิตคนไข้ เมื่อเขาได้รับข้อเสนอให้ผ่าตัดให้กับประธานผู้ก่อตั้งคาสิโนผู้มีผลประโยชน์ทางธุรกิจกับผู้บริหารโรงพยาบาลกอแด ชีวิตการเป็นแพทย์ของอาจารย์คิมจึงถูกก่อกวนอีกครั้ง

คังดงจู (รับบทโดย ยูยอนซอก) ศัลยแพทย์หนุ่มอนาคตไกล ผู้เคยสูญเสียพ่อจากการปฏิบัติที่ไม่เป็นธรรมของแพทย์ เขาจึงพยายามเป็นแพทย์ที่เก่งและมุ่งมั่นรักษาให้กับผู้ป่วยทุกคนอย่างเท่าเทียม แต่ในโลกของความเป็นจริงที่การมีเส้นสายเป็นสิ่งสำคัญ ความสามารถเพียงอย่างเดียวจึงไม่ทำให้เขาประสบความสำเร็จ คังดงจูตัดสินใจเลื่อนการผ่าตัดคนไข้ทั่วไปที่มาถึงก่อนและผ่าตัดให้กับคนไข้วีไอพีเพื่อความก้าวหน้าด้านการงาน แต่ผลการผ่าตัดที่ผิดพลาดทำให้ชีวิตของคังดงจูเปลี่ยนไป เขาถูกย้ายมาที่โรงพยาบาลทลดัม จึงได้พบกับศัลยแพทย์มากฝีมืออย่างอาจารย์คิมและยุนซอจอง แพทย์รุ่นพี่ผู้เป็นรักครั้งแรกของเขา

[/read]